
รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet: UV) ชนิด UVA และ UVB เป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดผลเสียกับผิว เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ ความเหี่ยวย่นหย่อนคล้อย และผิวเกรียมแดด รวมไปถึงมะเร็งผิวหนัง
รังสี UVA สามารถส่องผ่านทะลุกระจกเข้าไปยังอาคารบ้านเรือนได้ อีกทั้งยังมีแสงสีฟ้าจากมือถือและจอคอมพิวเตอร์ ดังนั้น แม้จะอยู่ในบ้านก็ควรทาครีมกันแดดที่เหมาะสมเช่นกัน
ควรเลือกครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติปกป้องได้ทั้งแสง UVA และ UVB โดยสามารถสังเกตจากค่า SPF และ PA ตามลำดับ โดยควรเลือกระดับ SPF ตั้งแต่ 30 และค่า PA 3+ ขึ้นไป
โดยปกติแล้ว การทาครีมกันแดดนั้นเป็นกิจวัตรประจำวัน แล้วหากต้องทำงานอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ออกไปโดนแดดที่ไหน เรายังมีความจำเป็นต้องทาครีมกันแดดอยู่อีกหรือไม่?
แสงแดดและรังสียูวี ส่งผลเสียต่อผิวอย่างไร ?
แสงแดด หรือ แสงอาทิตย์ เป็นสาเหตุหลักสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายกับเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ผิวอักเสบ สูญเสียคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ผิวคล้ำเสีย เกิดฝ้ากระ และเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งผิวหนังได้ ในแสงแดดจะประกอบไปด้วย แสงอินฟราเรด (infrared) แสงที่มองเห็น (visible light) และแสงที่มองไม่เห็น (invisible light) นั่นก็คือรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet: UV) หรือยูวีที่เราคุ้นหูกัน
รังสียูวีในแสงอาทิตย์ มีทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ UVA UVB และ UVC ซึ่งรังสี UVC นั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะถูกชั้นโอโซนของโลกดูดซับ สะท้อนกลับ หรือทำลายได้ทั้งหมด เลยไม่มีผลกระทบต่อผิวหนังเท่าใดนัก ดังนั้น ในที่นี้จึงจะขอพูดถึงรังสี 2 ชนิดแรก คือ UVA และ UVB ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ มากมาย
- รังสี Ultraviolet A หรือ UVA สามารถแบ่งได้เป็น UVA-I และ UVA-II ในแสงแดดนั้นมี UVA มากถึง 95% รังสี UVA นั้นส่งผลร้ายต่อผิวหนัง ทำให้ผิวเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย ผิวคล้ำเข้ม เกิดจุดด่างดำ และเกิดการสร้างของอนุมูลอิสระ ส่งผลกระทบโดยอ้อมต่อดีเอ็นเอ การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม และสามารถทำให้เกิดเป็นมะเร็งผิวหนังบางชนิดได้
- รังสี Ultraviolet B หรือ UVB เป็นรังสีที่ทำให้เกิดการ Burn หรือผิวหนังไหม้เกรียมแดด ผิวอักเสบ ผิวแก่ก่อนวัย และยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็วผิวหนังได้ หากปล่อยให้ผิวสัมผัสแสงแดดบ่อยๆ โดยเฉพาะแดดช่วงเที่ยงหรือบ่าย หรือเมื่อฟ้าใส มีเมฆน้อย และปราศจากการป้องกันที่ดี